เนื่องจากวันที่ 26 กันยายนของทุกปีเป็นวันคุมกำเนิดโลก สภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ไบเออร์ เชริง ฟาร์มา และสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “50 ปี ยาเม็ดคุมกำนิด 50 ปี แห่งคุณภาพชีวิตผู้หญิง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หญิงไทยเห็นความสำคัญและตระหนักถึงการวางแผนครอบครัว เพื่อลดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งจากสถิติในแต่ละปีพบว่า ประเทศที่กำลังพัฒนามีเหตุการณ์ต่างๆ ที่สืบเนื่องมาจากการไม่คำนึงถึงประโยชน์หรือไม่รู้จักการคุมกำเนิดสมัยใหม่ เช่น การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ 187 ล้านครรภ์, การให้กำเนิดบุตรโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า 60 ล้านราย, การทำแท้งโดยความจงใจ 105 ล้านครั้ง, การเสียชีวิตของเด็กทารก 2.7 ล้านคน, การเสียชีวิตอันมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับการตั้งครรภ์ 215,000 ราย และ การที่เด็ก 685,000 คน ต้องสูญเสียมารดาไปด้วยสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการตั้งครรภ์
ศาสตรจารย์ นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและในฐานะผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย (APCOC) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันอัตราการคุมกำเนิดของผู้หญิงไทยที่แต่งงานแล้วร้อยละ 80 มีการวางแผนครอบครัวโดยการคุมกำเนิด โดยการวางแผนครอบครัวจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีที่นิยมสูงสุด อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแพร่หลายของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสูงที่สุดในทวีปเอเชีย และทุกวันนี้สตรีไทยกว่าร้อยละ 30 ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด หลังจากมีการเปิดตัวยาเม็ดคุมกำเนิดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 ตั้งแต่นั้นมายาเม็ดคุมกำเนิดก็เป็นเหมือนการบุกเบิกและเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกให้ดีขึ้น อีกทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา อัตราการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดยังมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยยะกับอัตราการเข้าเรียนและการจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในด้านกฎหมาย การแพทย์ และวิชาชีพด้านอื่นๆ รวมถึงส่งผลให้ผู้หญิงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกด้วย”