แพทย์ชั้นนำของไทยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ล่าสุดร่วมกันยืนยันถึงศักยภาพอันน่าพอใจของการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalised Healthcare) ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้อย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งช่วยลดความสิ้นเปลืองในการจ่ายยาที่ไม่จำเป็น ทำให้สามารถใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ แนวทางการรักษาเฉพาะบุคคลเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และการทำงานร่วมกันระหว่างโรช ไทยแลนด์ และ โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการค้นคว้าวิจัยยาและการตรวจวินิจฉัยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางใหม่ในการรักษาเฉพาะบุคคลที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน โดยในประเทศไทยได้นำมาใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี รวมทั้งโรคมะเร็งบางชนิด
ในความเป็นจริงการรักษาอาการของโรคแต่ละโรค กับแต่ละบุคคล ไม่น่าใช้สูตรสำเร็จได้ เพราะคนเรานั้นแตกต่างกัน ผู้ป่วยแต่ละคนที่ได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคเดียวกันอาจตอบสนองต่อยาชนิดเดียวกันได้แตกต่างกันออกไป การรักษาเฉพาะบุคคลจึงพยายามค้นหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดกับลักษณะทางด้านพันธุกรรม ลักษณะอาการเฉพาะ รวมทั้งชนิดของโรคที่ผู้ป่วยแต่ละคนเป็นอยู่
ปัจจุบันได้มีการนำวิธีการรักษาเฉพาะบุคคลมาใช้จริงในประเทศไทยแล้ว นั่นคือการใช้ยาที่ออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งเต้านมอย่างเฉพาะเจาะจงโดยยาดังกล่าวจะมีผลกับมะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพที่กำหนดไว้อย่างเฉพาะเจาะจงเท่านั้นซึ่งจะแสดงลักษณะอาการเฉพาะออกมา หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเนื้องอกมีตัวชี้วัดทางชีวภาพตรงตามที่ระบุไว้ แพทย์ก็จะพิจารณาให้การรักษาด้วยยาชนิดนี้ได้ กระบวนการดังกล่าวทำให้มั่นใจได้ว่าการให้ยาจะให้เฉพาะกับผู้ป่วยที่สามารถได้รับประโยชน์จากตัวยานั้นๆ มากที่สุด
รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ ประจำหน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า “การรักษาเฉพาะบุคคลนับว่ามีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ระบบสาธารณสุขของไทย โดยการรักษาแนวทางนี้จะลดความสิ้นเปลืองจากการจ่ายยาโดยไม่จำเป็น พร้อมทั้งช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับยาเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับตนเองอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ความก้าวล้ำในด้านการรักษาเฉพาะบุคคลยังได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยให้มีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนั้น การรักษาเฉพาะบุคคลยังถูกนำมาใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ซึ่งเกิดขึ้นกับประชากรประมาณร้อยละหนึ่ง หรือมากกว่า 600,000 คนในประเทศไทย โดยมีกระบวนการในการตรวจวินิจฉัยถึงสองขั้นตอน เพื่อใช้บ่งชี้ประเภทของผู้ป่วยและระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการใช้ยาที่ออกฤทธิ์อย่างเฉพาะเจาะจง
รศ.นพ.ทวีศักดิ์ แทนวันดี จากสาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “การรักษาเฉพาะบุคคลเป็นแนวคิดใหม่ในการรักษาผู้ป่วย และทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับทุกฝ่ายในแวดวงสาธารณสุข ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาในแบบที่เหมาะสมที่สุดกับตัวเอง และไม่ต้องผ่านกระบวนการรักษาต่างๆ ที่บางครั้งก็มีความเสี่ยง ขณะเดียวกันแพทย์ก็จะสามารถเข้าใจได้ดีที่สุดว่าการรักษานั้นได้ผลกับผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา และสามารถนำวิธีการรักษานั้นๆ ไว้ใช้กับผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์จริงๆ เท่านั้น”
ยังมีอีกหลายโรค ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาด้วยวิธีการรักษาเฉพาะบุคคล เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ คนไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากวิธีการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวอย่างแน่นอน