คุณตั้งครรภ์แล้วแต่ยังทำงานอยู่ใช่ไหม? ต่อไปนี้คือสิ่งที่พึงรู้ก่อนจะกลายเป็นคุณแม่เต็มตัว
6 เดือนก่อนคลอด
ควรแจ้งนายจ้างว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ก่อนตั้งครรภ์ครบ 25 สัปดาห์ คุณแม่ส่วนใหญ่บอกนายจ้างหลังผลตรวจสแกนตอน 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เพราะต้องขอลาไปตรวจครรภ์ นอกจากนี้นายจ้างควรได้รู้กำหนดคลอดของคุณรวมถึงกำหนดการลาก่อนคลอดด้วย
5 เดือนก่อนคลอด
ตอนนี้ท้องของคุณเริ่มยื่นชนโต๊ะทำงานแล้ว ส่งผลต่อการทรงตัวซึ่งศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงยื่นไปข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเชิงกราน ดังนั้นหากงานที่รับผิดชอบไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย คุณอาจพูดคุยกับนายจ้างเพื่อปรับเปลี่ยนหน้าที่ตามความเหมาะสม
4 เดือนก่อนคลอด
เมื่อเข้าสู่ 21 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ คุณควรบอกเจ้านายว่าจะลาก่อนคลอดเมื่อไรและกลับมาทำงานเมื่อไร และหากคุณมีใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้ คุณมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ โดยให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานให้เหมาะสมได้
3 เดือนก่อนคลอด
การลาคลอดอาจเริ่มตอน 29 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ทำไปจนเกือบถึงกำหนดวันคลอดตราบเท่าที่แพทย์ไม่ห้าม
2 เดือนก่อนคลอด
ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว คุณอาจอยากคุยกับนายจ้างเรื่องการทำงานตามเวลาที่ยืดหยุ่นขึ้น เพราะตามกฎหมายห้ามคุณแม่ตั้งครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 06.00 น และห้ามทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
Ø งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
Ø งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
Ø งานยก แบก หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม
Ø งานที่ทำในเรือ
1 เดือนก่อนคลอด
คุณไม่จำเป็นต้องลาก่อนคลอดก็ได้ แต่ตามกฏหมายคุณมีสิทธิในการลาเพื่อการคลอด ก่อนและ/หรือหลังคลอดรวมกันแล้วครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วันรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลา ซึ่งคุณจะได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 45 วัน นอกเหนือจากนี้ยังได้รับสิทธิค่าทำคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายครั้งละ 12,000 บาท จากทางประกันสังคมอีกด้วย ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์จากทางประกันสังคมได้ที่สายด่วนประกันสังคม 1506 ช่วงนี้พยายามอย่าเครียด หรือโหมทำงานหนัก เพราะเป็นช่วงเวลาที่คุณควรเริ่มนับถอยหลังสู่วันคลอดแล้วนั่นเอง